ความรู้ทั่วไปเีกี่ยวกับบัญชี
1 ความหมายและประโยชน์ของข้อมูลทางการบัญชี
1.1.1 ความหมายของการบัญชี (Accounting)
การบัญชี คือ ศิลปะของการเก็บรวมรวม บันทึก จำแนก และทำสรุปข้อมูลอันเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในรูปตัวเงิน ผลงานขั้นสุดท้ายของการบัญชี คือ การให้ข้อมูลทางการเงิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่บุคคลหลายฝ่าย และผู้ที่สนใจในกิจกรรมของกิจการ
สมาคมผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของประเทศอเมริกา (American Institute of Certified Public Accountants หรือ AICPA) ให้คำนิยามไว้ดังนี้ “การบัญชี คือ การจดบันทึก การจำแนก การสรุปผล และการจัดทำรายงานทางการเงิน โดยใช้หน่วยวัดเป็นเงินตรา รวมถึงการแปลความหมายของรายงานเกี่ยวกับการเงินดังกล่าว เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”
1.1.2 ประโยชน์ของข้อมูลทางการบัญชี
การบัญชีที่ทำขึ้นเพื่อให้ได้รายงานทางการเงินนั้นถือเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่ผู้ใช้รายงานทาง
การเงินใช้หาข้อมูลที่ตนต้องการทราบ กลุ่มผู้ใช้รายงานทางการเงินประกอบด้วย
1.1.2.1 ผู้ลงทุนและผู้บริหาร ผู้ลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้นต้องการใช้ข้อมูลที่จะช่วยประเมินความสามารถของกิจการในการจ่ายเงินปันผล ผู้เป็นเจ้าของทุนต้องการทราบถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุน รวมทั้งพิจารณาตัดสินใจ ซื้อ-ขาย หรือถือเงินลงทุน ต่อผู้บริหารใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ การวางแผน การติดตามผล และการควบคุมการปฏิบัติงานของพนักงาน รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงการปฏิบัติงานของกิจการ
1.1.2.2 สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อแก่ธุรกิจหรือผู้จำหน่ายสินค้าหรือบริการแก่ธุรกิจ ก่อนพิจารณาให้สินเชื่อแก่ธุรกิจการค้า จะทำการประเมินความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจและสภาพความเสี่ยงที่มีอยู่ กรณีให้สินเชื่อแล้วจะช่วยในการพิจารณาว่าเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะได้รับเมื่อครบกำหนดหรือไม่
1.1.2.3 หน่วยราชการของรัฐบาล ต้องการข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ในการจัดเก็บภาษี การออกกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องในเรื่องการเสียภาษี การควบคุมจัดให้มีรายงานการเงินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และข้อมูลทางการเงินของธุรกิจนั้นรัฐบาลสามารถนำมาวิเคราะห์แนวโน้มความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศ
1.1.2.4 พนักงานขององค์การธุรกิจ ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงและความสามารถในการทำกำไรของกิจการที่ตนทำงานอยู่ นอกจากนี้ยังต้องการข้อมูลที่จะช่วยให้สามารถประเมินความสามารถของกิจการในการจ่ายค่าตอบแทน บำเหน็จบำนาญ หรือโอกาสในการจ้างงาน
1.2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชีและจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี
1.2.1 สภาวิชาชีพบัญชี (Federation of Accounting Profession หรือ FAP) เป็นสถาบันตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มีฐานะเป็นนิติบุคคล อำนาจหน้าที่ของสภาวิชาชีพบัญชีมีดังนี้
1.2.1.1 กำหนดมาตรฐานการบัญชี มาตรฐานการสอบบัญชี และมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี
1.2.1.2 กำหนดจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี
1.2.1.3 รับขึ้นทะเบียนการประกอบวิชาชีพบัญชี ออกใบอนุญาต พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี
1.2.1.4 รับรองวุฒิการศึกษาของผู้สมัครเป็นสมาชิก รับรองความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพบัญชี และรับรองหลักสูตรการฝึกอบรมเป็นผู้ชำนาญการและการศึกษาต่อเนื่องในด้านต่างๆ ของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี
1.2.1.5 ควบคุมความประพฤติและการดำเนินงานของสมาชิกและผู้ขึ้นทะเบียนให้เป็นไปตามจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี
1.2.1.6 ให้คำปรึกษาและเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบาย และปัญหาของวิชาชีพบัญชี
1.2.2 วิชาชีพบัญชี หมายถึง วิชาชีพในด้านการทำบัญชี ด้านการสอบบัญชี ด้านการบัญชีบริหาร ด้านการ วางระบบบัญชี ด้านการบัญชีภาษีอากร ด้านการศึกษาและเทคโนโลยีการบัญชี และบริการเกี่ยวกับการบัญชีด้านอื่นตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
1.2.3 จรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี
สภาวิชาชีพบัญชีกำหนดจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชีในเรื่องดังต่อไปนี้
1.2.3.1 ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต
1.2.3.2 ความรู้ความสามารถและมาตรฐานในการปฏิบัติงาน
1.2.3.3 ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการและการรักษาความลับ
1.2.3.4 ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบ
วิชาชีพบัญชีปฏิบัติหน้าที่ให้
1.3 พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543
1.3.1 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี หมายถึง ผู้มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้
1.3.1.1 หุ้นส่วนผู้จัดการ มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน”
1.3.1.2 กรรมการบริษัท มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “บริษัทจำกัดและบริษัทมหาชน จำกัด”
1.3.1.3 ผู้รับผิดชอบการดำเนินการในประเทศไทย มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย”
1.3.1.4 ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการ มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร”
1.3.1.5 เจ้าของหรือผู้จัดการ มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญมิได้จดทะเบียนตามที่รัฐมนตรีประกาศ”
1.3.2 หน้าที่ของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
1) จัดให้มีผู้ทำบัญชีที่มีคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชีตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
2) ควบคุมดูแลผู้ทำบัญชีให้จัดทำบัญชีตรงต่อความเป็นจริงและถูกต้อง
3) จัดให้มีผู้ทำบัญชีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มีผลใช้บังคับ
4) จัดให้มีการทำบัญชีสำหรับการประกอบธุรกิจของตน โดยมีรายละเอียด หลักเกณฑ์ และวิธีการตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543
5) ให้เริ่มทำบัญชีดังนี้
ในกรณีที่เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ให้เริ่มทำบัญชีนับตั้งแต่วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
ในกรณีที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ให้เริ่มทำบัญชีนับแต่วันที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจในประเทศไทย
กรณีที่เป็นกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ให้เริ่มทำบัญชีนับแต่วันที่เริ่มต้นประกอบกิจการ
6) ดำเนินการให้มีการส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อบัญชีที่จัดทำขึ้นสามารถแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงินหรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริง และตามมาตรฐานการบัญชี
7) ดำเนินการให้มีการปิดบัญชีและจัดทำงบการเงินโดยปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือน นับแต่วันเริ่มทำบัญชี และปิดบัญชีทุกรอบ 12 เดือนนับแต่วันปิดบัญชีครั้งก่อน ส่วนการจัดทำงบการเงินให้ดำเนินการจัดทำงบการเงินตามรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศและยื่นงบการเงินต่อสำนักงานกลางบัญชี หรือสำนักงานบัญชีประจำท้องที่ภายในเวลากำหนดดังนี้
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
- นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ยื่นงบการเงินภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี
- กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร
- บริษัทจำกัด ยื่นงบการเงินภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่
- บริษัทมหาชนจำกัด งบการเงินนั้น ได้รับอนุมัติในที่ประชุมใหญ่
และงบการเงินต้องได้รับการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
8) ดำเนินการเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการหรือสถานที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็นประจำ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานเป็นประจำ ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันปิดบัญชี หากบัญชีหรือเอกสารสูญหาย เสียหาย ต้องแจ้งต่อสารวัตรใหญ่บัญชี หรือสารวัตรบัญชีภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบ
แม่บทการบัญชี ( Accounting Framework ) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดทำและนำเสนอ งบการเงิน ใช้เป็นกรอบในการแก้ปัญหาทางการบัญชีในขณะที่ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีสำหรับ เรื่องนั้นๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่อบุคคลต่างๆ ดังนี้
1) คณะกรรมการมาตรฐานการบัญชี ใช้เป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบัญชีที่จะออกมาใหม่ และปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีที่ใช้อยู่ปัจจุบัน และใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ ลดจำนวนทางเลือกของวิธีการบันทึกบัญชีที่เคยอนุญาตให้ใช้มีความสอดคล้องกับการนำเสนองบการเงิน
2) ผู้จัดทำงบการเงิน ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับมาตรฐานการบัญชีปัจจุบัน และเรื่องที่ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีกำหนด
3) ผู้สอบบัญชี ใช้เป็นแนวทางในการแสดงความเห็นต่องบการเงินว่าได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการบัญชีหรือไม่
1.5 ความหมายของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ
สินทรัพย์ (Asset) หมายถึง สิ่งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนที่มีมูลค่าเป็นตัวเงินโดยมีบุคคลหรือกิจการเป็นเจ้าของ
หนี้สิน (Liabilities) หมายถึง ภาระผูกพันที่บุคคลภายนอกพึงมีต่อกิจการอันเกิดจากการซื้อสินทรัพย์หรือการใช้บริการและยังไม่ได้ชำระเงินให้หรือชำระให้บางส่วน
ส่วนของเจ้าของ (Owner’s Equity) หมายถึง กรรมสิทธิ์ที่บุคคลหรือกิจการมีในสินทรัพย์ ซึ่งคำนวณได้ดังนี้ ส่วนของเจ้าของ = สินทรัพย์ - หนี้สิน
1.6 สมการบัญชี
สมการบัญชี คือ สมการที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ เขียนได้ดังนี้
สินทรัพย์ = หนี้สิน+ส่วนของเจ้าของ
หรือ สินทรัพย์ – หนี้สิน = ส่วนของเจ้าของ
หรือ สินทรัพย์ = หนี้สิน+ส่วนของเจ้าของ+รายได้-ค่าใช้จ่าย
1.7 การวิเคราะห์รายการค้า (Transaction Analysis)
การวิเคราะห์รายการค้าเป็นการพิจารณาว่ารายการค้าที่เกิดขึ้นส่ง ผลกระทบต่อสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของเจ้าของอย่างไร (เพิ่มขึ้น ลดลง หรือไม่เปลี่ยนแปลง) แต่ไม่ว่าจะเกิดรายการค้าขึ้นอย่างไร ผลกระทบก็ไม่ทำให้สมการบัญชีเสียสมดุลไป คือ สินทรัพย์รวมต้องเท่ากับหนี้สินและส่วนของเจ้าของรวมกันอยู่เสมอ
1.8 การจัดหมวดหมู่และการให้เลขที่บัญชี
เพื่อความสะดวกในการบันทึกข้อมูลและจัดทำงบการเงิน จะจัดเรียงบัญชีแยกประเภทเป็นหมวดหมู่ และกำหนดเลขที่บัญชี ซึ่งเรียกว่า “ผังบัญชี”
ผังบัญชี (Chart of Account) คือ ชื่อบัญชีและเลขที่บัญชีทั้งหมดของกิจการที่กำหนดขึ้นมาก่อนที่ จะมีการบันทึกบัญชี โดยต้องกำหนดชื่อบัญชีที่ต้องใช้บันทึกบัญชีให้ครบถ้วนและชื่อบัญชีที่อาจเกิดขึ้นภายหลังด้วย เมื่อกำหนดชื่อบัญชีแล้ว จะมีการกำหนดเลขที่บัญชีแต่ละบัญชีไว้หากชื่อบัญชีไม่ครบถ้วนสามารถเพิ่มเติมในเวลาต่อมาได้ การให้เลขที่บัญชีจึงต้องกำหนดเพื่อให้สามารถเพิ่มเติมได้ในภายหลัง เลขที่บัญชีโดยทั่วๆ ไป จะกำหนดโดยมีเกณฑ์ดังนี้
สินทรัพย์ ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 1 ดังนั้นเลขที่บัญชีของสินทรัพย์ทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 1 หนี้สิน ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 2 ดังนั้นเลขที่บัญชีของหนี้สินทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 2
ส่วนของเจ้าของ ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 3 ดังนั้นเลขที่บัญชีของส่วนของเจ้าของทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 3
รายได้ ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 4 ดังนั้นเลขที่บัญชีของรายได้ทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 4
ค่าใช้จ่าย ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 5 ดังนั้นเลขที่บัญชีของค่าใช้จ่ายทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 5
1.1.1 ความหมายของการบัญชี (Accounting)
การบัญชี คือ ศิลปะของการเก็บรวมรวม บันทึก จำแนก และทำสรุปข้อมูลอันเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในรูปตัวเงิน ผลงานขั้นสุดท้ายของการบัญชี คือ การให้ข้อมูลทางการเงิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่บุคคลหลายฝ่าย และผู้ที่สนใจในกิจกรรมของกิจการ
สมาคมผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของประเทศอเมริกา (American Institute of Certified Public Accountants หรือ AICPA) ให้คำนิยามไว้ดังนี้ “การบัญชี คือ การจดบันทึก การจำแนก การสรุปผล และการจัดทำรายงานทางการเงิน โดยใช้หน่วยวัดเป็นเงินตรา รวมถึงการแปลความหมายของรายงานเกี่ยวกับการเงินดังกล่าว เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”
1.1.2 ประโยชน์ของข้อมูลทางการบัญชี
การบัญชีที่ทำขึ้นเพื่อให้ได้รายงานทางการเงินนั้นถือเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่ผู้ใช้รายงานทาง
การเงินใช้หาข้อมูลที่ตนต้องการทราบ กลุ่มผู้ใช้รายงานทางการเงินประกอบด้วย
1.1.2.1 ผู้ลงทุนและผู้บริหาร ผู้ลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้นต้องการใช้ข้อมูลที่จะช่วยประเมินความสามารถของกิจการในการจ่ายเงินปันผล ผู้เป็นเจ้าของทุนต้องการทราบถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุน รวมทั้งพิจารณาตัดสินใจ ซื้อ-ขาย หรือถือเงินลงทุน ต่อผู้บริหารใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ การวางแผน การติดตามผล และการควบคุมการปฏิบัติงานของพนักงาน รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงการปฏิบัติงานของกิจการ
1.1.2.2 สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อแก่ธุรกิจหรือผู้จำหน่ายสินค้าหรือบริการแก่ธุรกิจ ก่อนพิจารณาให้สินเชื่อแก่ธุรกิจการค้า จะทำการประเมินความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจและสภาพความเสี่ยงที่มีอยู่ กรณีให้สินเชื่อแล้วจะช่วยในการพิจารณาว่าเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะได้รับเมื่อครบกำหนดหรือไม่
1.1.2.3 หน่วยราชการของรัฐบาล ต้องการข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ในการจัดเก็บภาษี การออกกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องในเรื่องการเสียภาษี การควบคุมจัดให้มีรายงานการเงินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และข้อมูลทางการเงินของธุรกิจนั้นรัฐบาลสามารถนำมาวิเคราะห์แนวโน้มความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศ
1.1.2.4 พนักงานขององค์การธุรกิจ ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงและความสามารถในการทำกำไรของกิจการที่ตนทำงานอยู่ นอกจากนี้ยังต้องการข้อมูลที่จะช่วยให้สามารถประเมินความสามารถของกิจการในการจ่ายค่าตอบแทน บำเหน็จบำนาญ หรือโอกาสในการจ้างงาน
1.2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชีและจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี
1.2.1 สภาวิชาชีพบัญชี (Federation of Accounting Profession หรือ FAP) เป็นสถาบันตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มีฐานะเป็นนิติบุคคล อำนาจหน้าที่ของสภาวิชาชีพบัญชีมีดังนี้
1.2.1.1 กำหนดมาตรฐานการบัญชี มาตรฐานการสอบบัญชี และมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี
1.2.1.2 กำหนดจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี
1.2.1.3 รับขึ้นทะเบียนการประกอบวิชาชีพบัญชี ออกใบอนุญาต พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี
1.2.1.4 รับรองวุฒิการศึกษาของผู้สมัครเป็นสมาชิก รับรองความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพบัญชี และรับรองหลักสูตรการฝึกอบรมเป็นผู้ชำนาญการและการศึกษาต่อเนื่องในด้านต่างๆ ของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี
1.2.1.5 ควบคุมความประพฤติและการดำเนินงานของสมาชิกและผู้ขึ้นทะเบียนให้เป็นไปตามจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี
1.2.1.6 ให้คำปรึกษาและเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบาย และปัญหาของวิชาชีพบัญชี
1.2.2 วิชาชีพบัญชี หมายถึง วิชาชีพในด้านการทำบัญชี ด้านการสอบบัญชี ด้านการบัญชีบริหาร ด้านการ วางระบบบัญชี ด้านการบัญชีภาษีอากร ด้านการศึกษาและเทคโนโลยีการบัญชี และบริการเกี่ยวกับการบัญชีด้านอื่นตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
1.2.3 จรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี
สภาวิชาชีพบัญชีกำหนดจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชีในเรื่องดังต่อไปนี้
1.2.3.1 ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต
1.2.3.2 ความรู้ความสามารถและมาตรฐานในการปฏิบัติงาน
1.2.3.3 ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการและการรักษาความลับ
1.2.3.4 ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือบุคคลหรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบ
วิชาชีพบัญชีปฏิบัติหน้าที่ให้
1.3 พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543
1.3.1 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี หมายถึง ผู้มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้
1.3.1.1 หุ้นส่วนผู้จัดการ มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน”
1.3.1.2 กรรมการบริษัท มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “บริษัทจำกัดและบริษัทมหาชน จำกัด”
1.3.1.3 ผู้รับผิดชอบการดำเนินการในประเทศไทย มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย”
1.3.1.4 ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการ มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร”
1.3.1.5 เจ้าของหรือผู้จัดการ มีหน้าที่จัดให้มีการทำบัญชีประเภทธุรกิจ “บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญมิได้จดทะเบียนตามที่รัฐมนตรีประกาศ”
1.3.2 หน้าที่ของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี
1) จัดให้มีผู้ทำบัญชีที่มีคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชีตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
2) ควบคุมดูแลผู้ทำบัญชีให้จัดทำบัญชีตรงต่อความเป็นจริงและถูกต้อง
3) จัดให้มีผู้ทำบัญชีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มีผลใช้บังคับ
4) จัดให้มีการทำบัญชีสำหรับการประกอบธุรกิจของตน โดยมีรายละเอียด หลักเกณฑ์ และวิธีการตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543
5) ให้เริ่มทำบัญชีดังนี้
ในกรณีที่เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ให้เริ่มทำบัญชีนับตั้งแต่วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
ในกรณีที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ให้เริ่มทำบัญชีนับแต่วันที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจในประเทศไทย
กรณีที่เป็นกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ให้เริ่มทำบัญชีนับแต่วันที่เริ่มต้นประกอบกิจการ
6) ดำเนินการให้มีการส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อบัญชีที่จัดทำขึ้นสามารถแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงินหรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริง และตามมาตรฐานการบัญชี
7) ดำเนินการให้มีการปิดบัญชีและจัดทำงบการเงินโดยปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือน นับแต่วันเริ่มทำบัญชี และปิดบัญชีทุกรอบ 12 เดือนนับแต่วันปิดบัญชีครั้งก่อน ส่วนการจัดทำงบการเงินให้ดำเนินการจัดทำงบการเงินตามรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศและยื่นงบการเงินต่อสำนักงานกลางบัญชี หรือสำนักงานบัญชีประจำท้องที่ภายในเวลากำหนดดังนี้
- ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
- นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ยื่นงบการเงินภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี
- กิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร
- บริษัทจำกัด ยื่นงบการเงินภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่
- บริษัทมหาชนจำกัด งบการเงินนั้น ได้รับอนุมัติในที่ประชุมใหญ่
และงบการเงินต้องได้รับการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
8) ดำเนินการเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการหรือสถานที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็นประจำ หรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำงานเป็นประจำ ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันปิดบัญชี หากบัญชีหรือเอกสารสูญหาย เสียหาย ต้องแจ้งต่อสารวัตรใหญ่บัญชี หรือสารวัตรบัญชีภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบ
แม่บทการบัญชี ( Accounting Framework ) เป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดทำและนำเสนอ งบการเงิน ใช้เป็นกรอบในการแก้ปัญหาทางการบัญชีในขณะที่ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีสำหรับ เรื่องนั้นๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่อบุคคลต่างๆ ดังนี้
1) คณะกรรมการมาตรฐานการบัญชี ใช้เป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบัญชีที่จะออกมาใหม่ และปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีที่ใช้อยู่ปัจจุบัน และใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ ลดจำนวนทางเลือกของวิธีการบันทึกบัญชีที่เคยอนุญาตให้ใช้มีความสอดคล้องกับการนำเสนองบการเงิน
2) ผู้จัดทำงบการเงิน ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับมาตรฐานการบัญชีปัจจุบัน และเรื่องที่ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีกำหนด
3) ผู้สอบบัญชี ใช้เป็นแนวทางในการแสดงความเห็นต่องบการเงินว่าได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการบัญชีหรือไม่
1.5 ความหมายของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ
สินทรัพย์ (Asset) หมายถึง สิ่งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนที่มีมูลค่าเป็นตัวเงินโดยมีบุคคลหรือกิจการเป็นเจ้าของ
หนี้สิน (Liabilities) หมายถึง ภาระผูกพันที่บุคคลภายนอกพึงมีต่อกิจการอันเกิดจากการซื้อสินทรัพย์หรือการใช้บริการและยังไม่ได้ชำระเงินให้หรือชำระให้บางส่วน
ส่วนของเจ้าของ (Owner’s Equity) หมายถึง กรรมสิทธิ์ที่บุคคลหรือกิจการมีในสินทรัพย์ ซึ่งคำนวณได้ดังนี้ ส่วนของเจ้าของ = สินทรัพย์ - หนี้สิน
1.6 สมการบัญชี
สมการบัญชี คือ สมการที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ เขียนได้ดังนี้
สินทรัพย์ = หนี้สิน+ส่วนของเจ้าของ
หรือ สินทรัพย์ – หนี้สิน = ส่วนของเจ้าของ
หรือ สินทรัพย์ = หนี้สิน+ส่วนของเจ้าของ+รายได้-ค่าใช้จ่าย
1.7 การวิเคราะห์รายการค้า (Transaction Analysis)
การวิเคราะห์รายการค้าเป็นการพิจารณาว่ารายการค้าที่เกิดขึ้นส่ง ผลกระทบต่อสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของเจ้าของอย่างไร (เพิ่มขึ้น ลดลง หรือไม่เปลี่ยนแปลง) แต่ไม่ว่าจะเกิดรายการค้าขึ้นอย่างไร ผลกระทบก็ไม่ทำให้สมการบัญชีเสียสมดุลไป คือ สินทรัพย์รวมต้องเท่ากับหนี้สินและส่วนของเจ้าของรวมกันอยู่เสมอ
1.8 การจัดหมวดหมู่และการให้เลขที่บัญชี
เพื่อความสะดวกในการบันทึกข้อมูลและจัดทำงบการเงิน จะจัดเรียงบัญชีแยกประเภทเป็นหมวดหมู่ และกำหนดเลขที่บัญชี ซึ่งเรียกว่า “ผังบัญชี”
ผังบัญชี (Chart of Account) คือ ชื่อบัญชีและเลขที่บัญชีทั้งหมดของกิจการที่กำหนดขึ้นมาก่อนที่ จะมีการบันทึกบัญชี โดยต้องกำหนดชื่อบัญชีที่ต้องใช้บันทึกบัญชีให้ครบถ้วนและชื่อบัญชีที่อาจเกิดขึ้นภายหลังด้วย เมื่อกำหนดชื่อบัญชีแล้ว จะมีการกำหนดเลขที่บัญชีแต่ละบัญชีไว้หากชื่อบัญชีไม่ครบถ้วนสามารถเพิ่มเติมในเวลาต่อมาได้ การให้เลขที่บัญชีจึงต้องกำหนดเพื่อให้สามารถเพิ่มเติมได้ในภายหลัง เลขที่บัญชีโดยทั่วๆ ไป จะกำหนดโดยมีเกณฑ์ดังนี้
สินทรัพย์ ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 1 ดังนั้นเลขที่บัญชีของสินทรัพย์ทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 1 หนี้สิน ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 2 ดังนั้นเลขที่บัญชีของหนี้สินทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 2
ส่วนของเจ้าของ ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 3 ดังนั้นเลขที่บัญชีของส่วนของเจ้าของทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 3
รายได้ ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 4 ดังนั้นเลขที่บัญชีของรายได้ทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 4
ค่าใช้จ่าย ให้หมวดหมู่บัญชีเป็น 5 ดังนั้นเลขที่บัญชีของค่าใช้จ่ายทุกบัญชีจะนำหน้าด้วยเลข 5